เช็กให้ดี… อู่ซ่อมเปลี่ยนถ่าย “น้ำมันเบรก” รถคุณเต็มระบบหรือไม่!

| 0

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกหากมองดูผิวเผินที่กระปุกน้ำมัน ก็คงจะเห็นคล้ายๆ กันว่ามันใส สะอาด ไม่ดำเหมือนก่อนจะเปลี่ยน แต่ใครจะรู้ ว่าลึกลงไปภายใน ไล่ไปจนถึงสายน้ำมันเบรกล้อต่างๆ ได้มีการไล่น้ำมันเก่าออกให้เราด้วยหรือไม่ หากช่างไม่ลืม หรือไม่ขี้เกียจก็โชคดีไป แต่ถ้าช่างลืม หรือขี้เกียจ อันนี้น่าโมโหสุดๆ และหากใครไม่อยากไปเข้าศูนย์บริการ หรือร้านเพราะกลัวเรื่องแบบนี้ หรือไม่อยากเสียเงิน อยากประหยัด ลองมาดูวิธีเปลี่ยนถ่าย และไล่สายน้ำมันเบรกตามนี้กันดีกว่า

      อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

1. น้ำมันเบรก DOT3, DOT4 หรือ DOT5 ให้สังเกตตรงฝากระปุกน้ำมัน (ห้ามผสม หรือใช้ปนกันเด็ดขาด) อย่างน้อย 1 ลิตร
2. ประแจเบอร์ 8 และเบอร์ 10
3. ที่ดูดน้ำมัน (หัวปั๊มสบู่เหลว หรือกระปุกหยอดน้ำมัน แล้วแต่จะหาได้)
4. สายยางสีใส หรือสายยางตู้ปลา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ¼ นิ้ว ยาวอย่างน้อย 50 เซนติเมตร
5. ขวดเปล่าอย่างน้อย 1 ลิตร
6. ผู้ช่วย 1 คน (เอาไว้เหยียบเบรกตอนไล่ลมไล่น้ำมันเบรก)

      ขั้นตอน และวิธีทำ

1. เปิดฝากระปุกน้ำมันเบรก นำแผ่นกรองสิ่งสกปรกเวลาใส่น้ำมันเบรกออกมา (นำผ้ามาล้อมกระปุกน้ำมันไว้ด้วย กันเลอะเทอะ)
2. ใช้ที่ดูดน้ำมัน ดูดน้ำมันเบรกอันเก่าออกมาให้หมด โดยใช้ปลายสายคอยคว้านลงไปด้านล่างรอบๆ เพื่อเอาสิ่งสกปรกอื่นๆ ออกไปด้วย จากนั้นเติมน้ำมันเบรกอันใหม่ลงไป แล้วดูดออกซ้ำอีกครั้ง จนกว่าจะแน่ใจว่าใสสะอาดดีแล้ว
3. ติดเครื่องยนต์ นำสายยางที่ต่อปลายสายด้านนึงเข้าที่ขวดเปล่า และนำปลายสายอีกด้านไปต่อเข้ากับหัวไล่อากาศที่ก้ามปู หรือคาริปเปอร์เบรค (ทำทีละล้อ)
4. จากนั้นให้ผู้ช่วยคอยเหยียบ-ปล่อย ย้ำเบรกไปเรื่อยๆ ส่วนตัวเราคลายน็อตไล่ลมค้างเอาไว้ และคอยสังเกตว่าสีน้ำมันเบรกเริ่มใสรึยัง เมื่อใส และไม่มีฟองอากาศแล้ว จึงค่อยขันปิดน็อตไล่ลมทันที (***หมั่นเติมน้ำมันเบรกเรื่อยๆ อย่าให้น้ำมันเบรกในกระปุกหมดเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีลมเข้าไป ทำให้ต้องไล่ระบบกันอีกครั้ง***)
5. ทำตามข้อที่ 3 และ 4 จนครบทั้ง 4 ล้อ

เท่านี้ก็เสร็จสิ้นกระบวนการ ไม่ต้องกังวลว่าศูนย์ หรืออู่ต่างๆ เปลี่ยนถ่าย และไล่สายน้ำมันเบรกให้เราแบบครบๆ หรือไม่ และหากไม่เคยเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกเลย ก็อาจทำให้เกิดอันตรายต่อตนเอง และผู้โดยสารร่วมทางได้ เนื่องจากหากถูกใช้งานไปนานๆ น้ำมันเบรก จะดูดซับความชื้นจากภายนอกเข้ามา ทำให้น้ำมันเบรกมีความชื้นเพิ่มขึ้น ทำให้น้ำมันเบรกมีจุดเดือดที่ต่ำลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากมีน้ำ หรือความชื้นเข้ามาปะปน เวลาเหยียบเบรกทำให้กดเบรกลึกขึ้น หรือเบรกไม่ค่อยจะอยู่ หนักๆ เลยอาจเบรกแตกได้ ฯลฯ

     ดังนั้นจึงควรตรวจสอบ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุกๆ 1 – 2 ปี หรือตั้งแต่ 20,000 – 40,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเห็นว่ามันดำ และสกปรกมากแล้ว จะเปลี่ยนเลยไม่ต้องรอระยะเวลาก็ได้ครับ

 

วิธีแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็นบุหรี่

| 0

วิธีแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็นบุหรี่

บางคนนั้นชอบสูบบุหรี่อยู่ในห้องแอร์ ซึ่งคนสูบอาจเป็นเราเองหรืออาจไม่ใช่เรา แต่ปัญหาที่มักตามหลังมาก็ คือ กลิ่นบุหรี่ที่แรงจนก่อความรำคาญแม้จะเลิกสูบในห้องแอร์แล้ว หรือเอาทุกอย่างเกี่ยวกับบุหรี่ออกนอกห้องแอร์แต่กลับพบว่ากลิ่นบุหรี่นั้นได้ติดมากับแอร์ของเราแล้ว นั่นก็เป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจแก่คนที่ใช้แอร์อยู่มากเลยทีเดียว

โดยวันนี้เราจึงมีบทความดีๆ ในการช่วยแก้ปัญหากลิ่นเหม็นบุหรี่ของแอร์ โดยไม่ต้องพึ่งช่างแอร์เลย โดยสามารถทำได้ง่ายๆ ใน 4 ข้อ ดังที่จะแนะนำด้านล่างนี้

  1. ให้สับสวิตซ์เครื่องปรับอากาศก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ถอดแผ่นกรองอากาศด้านในออกมา หากทำไม่เป็นก็ลองหาคู่มือแล้วทำตามคำแนะนำในคู่มือได้เลย
  2. ใช้แปรงอ่อนๆ ขนาดเล็กอย่างแปรงสีฟันใช้แล้ว หรือผ้าไปชุบน้ำสบู่อ่อนๆ คอยเช็ดถูคราบสกปรกต่างๆ ที่อยูร่รอบแผ่นกรองอากาศ
  3. เมื่อทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศด้านในเรียบร้อยก็ ให้นำไปฉีดด้วยสเปรย์ น้ำยาล้างเครื่องปรับอากาศ ที่มีกลิ่นหอม จากนั้นก็นำแผ่นกรองอากาศไปตากให้แห้งสนิท ต้องขอย้ำว่าต้องให้แผ่นกรองอากาศนั้นแห้งสนิทเพราะหากแผ่นกรองอากาศไม่แห้งสนิทปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นบุหรี่อาจหายไป แต่ปัญหาที่ตามมาจะเป็นแอร์นั้นมีกลิ่นอับมาแทน หลังจากแผ่นกรองอากาศแห้งสนิทก็ติดประกอบเข้าตามเดิม
  4. เมื่อประกอบแอร์เสร็จสิ้นตามเดิมแล้ว ก็ให้เปิดแอร์ทิ้งไว้สักครู่ เพื่อให้กลิ่นเหม็นบุหรี่ถูกไล่ออกไป หากยังได้กลิ่นบุหรี่อยู่ก็ไม่ต้องตกใจว่าที่เราทำจะไม่ได้ผล เพราะนั่นจะเป็นเพียงแค่ช่วงแรกเท่านั้น เมื่อเปิดแอร์ไว้นานสักพักกลิ่นบุหรี่ก็จะค่อยๆ จางลงและหายไปในที่สุด

เพียง 4 ข้อด้านบนง่ายๆ เพียงแค่นี้เราก็สามารถจัดการกับแอร์ที่มีกลิ่นเหม็นบุหรี่ได้ง่ายๆ ด้วยตนเองแล้ว แถมไม่ต้องรบกวนช่างมาช่วยทำปัญหานี้อีก ครวต่อไปหากมีปัญหาแบบนี้อีกก็อย่าลืม 4 วิธีนี้กันล่ะ

คราวนี้แอร์ของเราที่เคยมีกลิ่นเหม็นบุหรี่มาก่อนก็จะกลับมามอบอากาศบริสุทธิ์สดชื่นเหมือนใหม่อีกครั้ง แล้วกลิ่นเหม็นบุหรี่ก็จะไม่กลับมากวนใจเราอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรนำบุหรี่มาสูบในห้องอีกเพราะมันจะสร้างปัญหานี้ในอนาคตให้เราอีกได้ หากไม่อยากจะต้องเอาแผ่นกรองอากาศมาทำความสะอาดแบบนี้อยู่บ่อยๆ ก็ให้งดสูบบุหรี่ไปเลย อย่างไรก็ตามบุหรี่มีพิษต่อตัวเรา เราควรงดสูบบุหรี่ไปเลย ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม เพื่อตัวเรา และเพื่อคนรอบข้างด้วย

by  ทีมงาน Baanzomdai